โรคเริม (Herpes)

โรคเริม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในหมู่ชายเกย์ในออสเตรเลีย ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสสองชนิดที่แตกต่างกันแต่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก ซึ่งได้แก่

  • เชื้อไวรัสโรคเริมประเภทที่ 1 (Herpes Simplex Virus Type 1 หรือ HSV-1) ที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ cold sores โรคเริมประเภทที่ 1 โดยปกติแล้วติดต่อทางการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ จากการจูบ การสัมผัส และบางครั้งจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
  • เชื้อไวรัสโรคเริมประเภทที่ 2 (Herpes Simplex Virus Type 2 หรือ HSV-2) ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคเริมประเภทที่ 2 โดยปกติแล้วจะแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และเช่นเดียวกัน โดยปกติแล้วจะติดต่อทางการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ

การเป็นโรคเริมประเภทที่ 2 (HSV-2) อาจมีผลถึงความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ HIV เพิ่มขึ้น เพราะแผลต่าง ๆ ที่ลุกลามมีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อ HIV มากขึ้นในระหว่างการร่วมเพศ เมื่อแผลของคุณเป็นแผลพุพอง ระบบภูมิคุ้มกันก็พยายามที่จะไปรักษาแผลนั้น ๆ ดังนั้น จึงมีเซลล์ภูมิคุ้มกันมากมายที่มารวมอยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งเซลล์เหล่านั้นคือ เซลล์ที่เชื้อ HIV โจมตี หากเชื้อ HIV ในน้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือเลือด มาสัมผัสกับแผลโรคเริม ความเสี่ยงในการติดเชื้อก็มีสูงขึ้นตาม

โรคนี้มีอาการอะไรบ้าง?

บางครั้ง จะไม่มีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคเริมเลย อย่างไรก็ตาม บางอาการสามารถเกิดขึ้นได้ และโดยปกติแล้วจะแสดงอาการให้เห็นในระหว่างสองถึงเจ็ดวันหลังจากได้รับเชื้อ

สำหรับโรคเริมประเภทที่ 1 (HSV-1) อาการอาจเริ่มด้วยความรู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มยิบ ๆ หรือคัน ตามด้วยแผลหรือตุ่มพองรอบ ๆ ปาก (cold sores) หรือบนอวัยวะเพศชาย รูด้านหน้าหรือที่ก้น หากคุณมีตุ่มพอง ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแผลตกสะเก็ด

สำหรับโรคเริมประเภทที่ 2 (HSV-2) อาการต่าง ๆ จะปรากฏให้เห็นเป็นแผลหรือแผลพุพองที่เจ็บแสบ หรือเจ็บเหมือนเข็มทิ่ม ใกล้ ๆ กับที่ทวาร อวัยวะเพศชาย รูด้านหน้าหรือลูกอัณฑะของคุณ

นอกจากนี้คุณยังอาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • มีไข้
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้
  • อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
  • ต่อมต่าง ๆ บวม

ฉันจะรับการตรวจได้อย่างไร?

ง่ายนิดเดียว หากคุณมีอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือไปที่ศูนย์สุขภาพทางเพศใกล้บ้านเพื่อเข้ารับการตรวจโรคเริม ซึ่งแพทย์จะใช้ก้านสำลีถูเบาๆ ที่ ตุ่มพองหรือแผล และโดยปกติแพทย์จะแนะนำให้ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แบบเต็มรูปแบบ หากผลการตรวจพบว่า คุณติดเชื้อ เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องเข้ารับการรักษาทันที

ฉันจะรับการรักษาได้อย่างไร?

ไม่มีการรักษาให้หายขาดสำหรับโรคเริม เนื่องจากเชื้อเริมจะอยู่ในร่างกายของคุณตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม แพทย์ของคุณสามารถสั่งจ่ายยาเพื่อลดอาการต่าง ๆ และช่วยให้คุณให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ หากคุณเป็นโรคเริม อาการต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากระบบภูมิคุ้มกันของคุณต่ำลง หรือในระหว่างที่มีความเครียด คุณอาจพบว่าการเกิดอาการของโรคซ้ำ (การกำเริบของอาการ) จะมีความถี่น้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเกิดอาการของโรคซ้ำ คือ การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพและพักผ่อนให้เพียงพอ คุณสามารถใช้ยาได้หากเกิดอาการบ่อย

ฉันสามารถลดความเสี่ยงของการติดโรคเริมได้อย่างไร?

เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด คุณสามารถลดโอกาสติดโรคเริมได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อกับใครก็ตามที่มีอาการชัดเจน และหากคุณจะมีเพศสัมพันธ์ วิธีที่ดีที่สุดในการลดการแพร่เชื้อ คือการใช้ถุงยางอนามัย ไม่ใช่เพียงแค่ครอบที่อวัยวะเพศชายของคุณ แต่ครอบที่ของเล่นทางเพศใด ๆ ที่คุณใช้ด้วย ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่คุณจะมีเพศสัมพันธ์ พยายามตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีถุงยางอนามัยอยู่ใกล้มือ

จะเกิดอะไรขึ้น หากฉันเป็นผู้ติดเชื้อ HIV?

หากคุณเป็นผู้ติดเชื้อ HIV และเป็นโรคเริมด้วย ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอาจอ่อนแอลง ซึ่งในกรณีนี้ การติดเชื้อโรคเริมของคุณอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น โดยที่เกิดอาการบ่อยกว่าคนที่ไม่ได้เชื้อ HIV

หากฉันกำลังกินยา PrEP โรคเริมจะส่งผลกระทบต่อฉันอย่างไร?

ขณะที่คุณกินยา PrEP คุณก็ยังสามารถติดโรคเริมได้ แม้ยา PrEP เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้แน่ใจว่า คุณไม่ติดเชื้อ HIV  แต่ก็ไม่ได้ป้องกันคุณจากโรคเริมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ถุงยางอนามัยกับสารหล่อลื่นในปริมาณมาก ๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของคุณในการติดโรคเริมประเภทที่ 2 (HSV-2) ได้

ข้อเท็จจริงสั้น ๆ เกี่ยวกับโรคเริม

  • โรคเริมสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ HIV
  • โรคเริมสามารถแพร่เชื้อผ่านการรุกและการรับจากเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือ การสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ
  • โรคเริมสามารถแพร่เชื้อได้ แม้กระทั่งในขณะที่ไม่แสดงอาการ
  • วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการติดโรคเริม คือ การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อไรก็ตามที่คุณมีการสัมผัสทางเพศ